เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 16 มี.ค.2561 ที่ศูนย์การเรียนรู้ บ.หนองแวงใหญ่ ม.13 ต.นาคำ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนและคณะอนุกรรมการไต่สวน จาก สำนักงาน ป.ป.ท.เขต 4 ลงพื้นที่สอบปากคำประชาชนที่ปรากฎตามรายชื่อในบัญชีเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ของนิคมสร้างตนเองเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ประจำปีงบประมาณ 2560 โดยมีประชาชนมาร่วมให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่รวมกว่า 100 คน โดยมีนายณัฐภัทร พลอยสุภา นายอำเภออุบลรัตน์ และ นายสาคร เปรียวดี กำนัน ต.นาคำ ร่วมอำนวยความสะดวกและจัดลำดับการให้ปากคำของชาวบ้านให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
พ.ท.กรทิพย ดาโรจน์ เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวว่า การตรวจสอบการเบิก-จ่ายเงินอุดหนุนสงเคราะห์ให้กับครอบครัวผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ยากไร้และผู้ไร้ที่พึ่ง ในพื้นที่ที่ขึ้นตรงกับนิคมสร้างตนเองเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ครั้งนี้เป็นการลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนและสอบปากคำบุคคลตามรายชื่อที่ปรากฎในบัญชีเบิกจ่ายในงบประมาณปี 2560 ต่อเนื่องมาจากนิคมสร้างตนเองอุดรธานี โดยที่นิคมสร้างตนเองเขื่อนอุบลรัตน์แห่งนี้รับผิดชอบพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอ มีครัวเรือนที่อยู่ในความรับผิดชอบ 28,962 ครัวเรือนประชากรรวม 104,831 คน ในปีที่ผ่านมาได้มีการเบิกจ่ายเงินตามโครงการดังกล่าวรวม 11,700,000 บาท โดยมีบัญชีเบิก-จ่ายแน่ชัดรวม 65 ฎีกา และจากการลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่แรกที่ บ.หนองแวงใหญ่วันนี้ ชาวบ้านออกมายืนยันและให้ข้อมูลในพฤติกรรมการกระทำความผิดและส่อทุจริตชัดเจน ทั้งการมีรายชื่อปรากฎแต่ไม่ได้รับเงินสงเคราะห์ ขณะที่บางคนได้รับเงินสงเคราะห์แต่ไม่เต็มจำนวน ซึ่งตามระเบียบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นั้นชัดเจนว่าเงินตามโครงการดังกล่าวนี้จะต้องจ่ายให้กับผู้ที่เข้าหลักเกณฑ์ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 3,000 บาท แต่จากการสอบสวนพบว่านอกจากบุคคลที่มีรายชื่อตามที่ปรากฏในฎีกาเบิก-จ่าย ที่ได้รับเงินไม่ครบแล้ว บางรายไม่เคยได้รับเงินเลย และบางรายมีรายชื่อไปปรากฏรายการเบิก-จ่ายของนิคมสร้างตนเองแห่งนี้ถึง 4 ครั้ง ซึ่งผิดระเบียบชัดเจนแต่ผู้บริหารของนิคมฯแห่งนี้นั้นทำได้ พฤติกรรมของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของนิคมฯแห่งนี้ จึงไม่แตกต่างจากการกระทำความผิดของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งแต่อย่างใด
และการลงพื้นที่ตรวจสอบที่นิคมสร้างตนเองที่อุดรธานีและที่ขอนแก่น เป็นชุดแรกนั้น ป.ป.ท.พบข้อมูลการกระทำความผิดจากการแจ้งเบาะแสมายัง คสช.และ ป.ป.ท. และเมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วพบการกระทำความผิดที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังคงพบว่ามีการเบิกจ่ายเงินจำนวนที่ต่างกันในแต่ละห้วงเดือน ซึ่งที่ขอนแก่นพบว่าในเดือน พ.ย.2559 มีการเบิก-จ่ายเงินเป็นจำนวนกว่า 3 ล้านบาท แต่ในเดือน ก.ค.60 เบิกจ่ายเงินเพียง 6,000 บาท และก่อนที่จะมีการลงพื้นที่พบปะกับชาวบ้านเพื่อสอบปากคำชาวบ้านในครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ของนิคมฯ มาพบกับชาวบ้านเพื่อข่มขู่ให้ชาวบ้านให้ปากคำกับ ป.ป.ท.ว่ามีการรับเงินครบทุกคน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนี้ ป.ป.ท.ได้รวบรวมข้อมูลและประสานงานร่วมกับทางจังหวัด, อำเภอและฝ่ายปกครอง ในการตรวจสอบพฤติกรรมและการกระทำดังกล่าว ซึ่งมีความผิดเพิ่มเติมอีกด้วย
พ.ท.กรทิพย์ กล่าวต่ออีกว่า การทำงานของ ป.ป.ท.มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะการไต่สวนการกระทำความผิดของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่นและเชียงใหม่ ที่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ป.ป.ท.จะสามารถสรุปสำนวนและมูลความผิดของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศชุดแรก 37 จังหวัด 37 ศูนย์ฯ ภายในวันที่ 31 มี.ค.นี้ และทั้งหมดคือ 74 ศูนย์ฯ จะต้องแล้วเสร็จภายในเดือนวันที่ 31 พ.ค. ตามระเบียบ ขั้นตอนและอำนาจของ ป.ป.ท. อย่างไรก็ตามนอกจากการตรวจสอบเรื่องการกระทำความผิดแล้วยังคงมีการประสานงานร่วมกับ ปปง.ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งขณะนี้ชัดเจนแล้วในหลายเรื่อง ซึ่งยังคงไม่ขอเปิดเผยข้อมูลการสอสวน โดยขอเวลา 2 สัปดาห์ จะสรุปสำนวนส่งให้กับ คณะกรรมการ ป.ป.ท.ชี้มูลความผิดเพื่อเอาผิดกับข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องได้เพราะขณะนี้ข้อมูลและหลักฐานหลายอย่างชัดเจนแล้วว่าการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ป่วยโรคเอดส์และคนไร้ที่พึ่ง ทั้งในส่วนของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและนิคมสร้างตนเองนั้นมีขบวนการเงินทอนชัดเจน
หากผลการสอบสวนเชื่อมโยงไปถึงข้าราชการระดับสูง รายใดและระดับใด ป.ป.ท.จะชี้มูลความผิดและส่งเรื่องให้กับอัยการ ดำเนินคดีทันที ซึ่งอำนาจของ ป.ป.ท.นั้นสามารถดำเนินการไต่สวนเอาผิดข้าราชการในระดับ 8 ลงมา ซึ่งหากอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ท.ก็จะดำเนินการทันที และหากผู้กระทำความผิดที่มีขอบเขตหน้าที่ในระดับ 8 ขึ้นไป ก็จะมีการส่งเรื่องให้กับ ป.ป.ช.ทันที ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานการทำงานร่วมกันไว้แล้วทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และประธาน คสช.เน้นยำการทำงานให้รัดกุม รอบคอบ และเดินหน้าสืบสวนสอบสวนเอาผิดกับผู้กระทำความผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมดทุกคน
เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า แม้ทีมพนักงานสอบสวนของ ป.ป.ท.จะมีจำนวนจำกัด แต่การทำงานก็มีความคืบหน้าไปมาก โดย ป.ป.ท.ในแต่ละเขตพื้นที่จะทำการสืบสวนสอบสวนในพื้นที่เป้าหมาย ขณะที่ทีม ป.ป.ท.ส่วนกลางจะทำการสนับสนุนการทำงานร่วมกันและบริหารจัดการนักสืบสวนสอบสวนให้รับผิดชอบคดีที่เกิดขึ้นอย่างครอบคลุมและเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนี้คดีความเดิมในเรื่องต่างๆที่มีอยู่ทีมนักสืบสวนสอบสวนก็ยังคงดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อยู่ซึ่งเราไม่ทิ้งเรื่องหนึ่งเรื่องใด แม้ประเด็นการทุจริตดังกล่าวนี้จะเป็นเรื่องใหญ่และกระจายไปทั่วทั้งประเทศ ทั้งหมดจะทำงานกันแบบคู่ขนาน ขณะที่ในส่วนที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. ได้ประสานขอข้อมูลเองการทุจริตดังกล่าวมานั้น ยืนยันว่า ทั้ง ป.ป.ท.และ พม.ทำงานกันแบบคู่ขนานมีการเชื่อมโยงข้อมูลกันตลอด และการสั่งย้ายผู้อำนวยการฯในความรับผิดชอบของกระทรวง พม.ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 16 คนนั้นไม่กระทบกับการสืบสวนสอบสวนของ ป.ป.ท.อย่างแน่นอน
ในขณะที่กำนันคนหนึ่งในพื้นที่กล่าวว่า ในพื้นที่บ้านหนองแวงใหม่ ม.13 มีการสำรวจรายชื่อผู้มีรายได้น้อยบ้างในบางปี ซึ่งในปีที่ผ่านมามีชาวบ้านได้รับเงินสงเคราะห์จากทางนิคมฯเพียง 3 คนเท่านั้น ส่วนชาวบ้านรายอื่นๆที่มีรายชื่อรับเงินนั้น ในฐานะกำนันไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน
ประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะไปตัดอ้อยในไร่ ก็มีเจ้าหน้าที่จากนิคมสร้างตนเองเขื่อนอุบลรัตน์ไปพบ พร้อมกับบอกว่า จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบเรื่องรับเงินสงเคราะห์ ให้พ่อกำนันไปบอกชาวบ้านว่า ได้รับเงินครบทุกคน จึงตอบเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไปว่า จะพูดตามความจริงทุกอย่าง
+ อ่านเพิ่มเติม