โรงงานยาสูบ ยอมรับผลดำเนินงานปีนี้ขาดทุนแตะ1,500 ล้านบาท หลังได้รับผลกระทบโครงสร้างภาษีใหม่ ต้องเตรียมกู้เงินมาลงทุน และจ่ายเงินเดือนพนักงาน ช่วงพฤษภาคม เร่งแก้เกมส์หันส่งออกรับจ้างผลิต ชดเชยรายได้ในประเทศที่ลดลง หลังกลายสภาพเป็นนิติบุคคล พ.ค.นี้
นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ บอกว่า โครงสร้างภาษีใหม่ของกรมสรรพสามิต ทำให้กระทบต่อผลดำเนินงานของโรงงานยาสูบ และยอดขายที่ลดลง จนคาดว่าอาจจะทำให้ในปี 2561 นี้ ขาดทุน 1,500 ล้านบาท ลดลงจากปี 2560 ที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ซึ่งยังมีกำไรถึง 9,344 ล้านบาท ขณะที่กำลังการผลิตยาสูบก็ลดจาก 32,000 ล้านมวนในปี 2560 เหลือ 18,000 ล้านมวนในปีนี้ ทั้งนี้โรงงานยาสูบอาจต้องกู้เงิน เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่อง ทั้งในเรื่องการลงทุน และการนำมาจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน เนื่องจากทุนหมุนเวียนขณะนี้เหลืออยู่เพียง 5,000 ล้านบาท โดยจะต้องหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดกรอบเงินกู้ เบื้องต้นคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท และน่าจะเริ่มกู้ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้
อย่างไรก็ตามโรงงานยาสูบได้เตรียมแผนการรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไว้แล้ว หลังจากที่ ร่างพรบ.การยาสูบแห่งประเทศไทย ผ่านความเห็นชอบจาก สนช. ในวาระ 3 แล้ว โดยคาดว่าจะสามารถประกาศเป็นกฎหมาย และจะมีผลบังคับใช้ประมาณต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งโรงงานยาสูบจะยกระดับสถานะเป็นนิติบุคคล โดยมีชื่อใหม่ว่า การยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งจะดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับยาสูบได้หลากหลายขึ้น เช่น การรับจ้างผลิตยาสูบ เพื่อส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่ม CLMV และล่าสุดได้ลงนาม MOU แต่งตั้งกลุ่ม BJC เป็นตัวแทนจำหน่าย และยังได้มีการเจรจากับจีน ในหลายมณฑล เช่น ยูนนาน ปักกิ่ง และฉงชิ่ง เพื่อรับจ้างผลิต
ดังนั้นวงเงินกู้ที่จะขออนุมัตินั้น ยังจะนำมาใช้ในการลงทุน เพื่อพัฒนาเครื่องจักรเพิ่มเติมด้วย ซึ่งเมื่อการดำเนินธุรกิจทั้งด้านการรับจ้างผลิตยาสูบ และส่งออก เดินหน้าได้ คาดว่าในปี 2563 โรงงานยาสูบ แห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีกำลังการผลิตสูงถึง 65,000 ล้านมวนต่อปี และทำให้โรงงานยาสูบมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น พึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งรัฐอีก
+ อ่านเพิ่มเติม