นายสิทธา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ซึ่งเป็นทนายความของ ร.ต.ท. จรูญ วิมล อดีตรองสารวัตรปราบปรามสถานีตำรวจภูธรบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี คู่กรณีในคดีสลากกินแบ่งรัฐบาลมูลค่า 30 ล้านบาท พร้อมด้วยลูกความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม เพื่อมอบพยานหลักฐาน 2 ส่วนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อใช้สมทบเพิ่มเติมในพยานหลักฐานที่จะใช้ตรวจสอบหาว่าใครคือเจ้าของสลากกินแบ่งรัฐบาลมูลค่า 30 ล้านตัวจริง
โดยพยานหลักฐานในส่วนที่ 1 เป็นพยานบุคคลที่ทีมทนายความและลูกความสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ จำนวน 2 ปาก ซึ่งข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้คือพยาน 1 ปากนั้นเป็นบุคคลใกล้ชิดกับนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ซึ่งมีข้อมูลที่สามารถหักล้างพยานบุคคลทั้ง 40 ปากของฝั่งครูปรีชาได้ทั้งหมด แต่บุคคลดังกล่าวจะเป็นใครนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผลต่อรูปคดี ส่วนหลักฐานอีกส่วนหนึ่งเป็นพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถตรวจสอบและยืนยันได้ว่าใครพูดความจริง
ส่วนกรณีที่มีสื่อได้เปิดเผยคลิปเสียงการสนทนากันทางโทรศัพท ของครูปรีชาและและนางรัตนาภรณ์ สุภาทิพย์แม่ค้าขายลอตเตอรี่ ในทำนองว่านางรัตนาภรณ์แสดงความดีใจที่ครูปรีชาถูกรางวัล แต่เจ้าตัวกลับตอบว่าซื้อสลากอีกเลขหนึ่งและไม่ได้ถูกรางวัล โดยคลิปเสียงดังกล่าวทางทีมทนายความและลูกความได้ติดตามรับฟังแล้ว ถ้าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีคลิปดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานก็จะถือได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเกรงว่าคลิปเสียงดังกล่าวจะถูกหักล้างในชั้นศาลว่า เป็นหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบนั้น เบื้องต้นตนทราบข้อมูลว่า คลิปเสียงดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถกู้ได้จากโทรศัพท์มือถือของครูปรีชาหรือนางรัตนาภรณ์ ในวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางติดต่อสอบสวนนั้น ได้ขออนุญาตนำโทรศัพท์มือถือของครูปรีชา, นางรัตนาภรณ์, และร้อยตำรวจโทจรูญไปทำการตรวจสอบ ซึ่งทุกคนก็อนุญาตให้เจ้าหน้าที่นำไปตรวจสอบได้ จึงถือว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยถูกต้อง และได้รับอนุญาตจากเจ้าของโทรศัพท์มือถือแล้ว ไม่ได้เป็นการดักฟังทางโทรศัพท์อย่างที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้
ด้านพลตำรวจตรีไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปรามเปิดเผยว่า ล่าสุดทราบข้อมูลจากกองบัญชาการสอบสวนกลางว่า มีหนังสืออย่างเป็นทางการจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้โอนคดีสลากกินแบ่งรัฐบาลมูลค่า 30 ล้าน มาจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แล้ว ก็จะเดินทางไปรับสำนวนการสอบสวนจากชุดสืบสวนสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ทันที แต่ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเดินทางไปรับที่ตำรวจภูธรภาค 7 ได้ในเวลาใด ซึ่งภายหลังจากได้ข้อมูลและสำนวนการสอบสวนจากตำรวจภูธรภาค 7 แล้วจะต้องนำมาตรวจสอบกับคำให้การของพยานบุคคลทั้งสี่สิบปากว่า ข้อมูลที่ชุดสืบสวนของกองปราบปรามสามารถลงพื้นที่และสืบสวนมาได้นั้น ตรงกับคำให้การของพยานทั้งหมดหรือไม่ ส่วนกรณีที่จะมีการเรียกสอบสวนพยานทั้ง 40 ปากใหม่หรือไม่นั้นต้องรอความชัดเจนจากสำนวนทั้งหมดก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
+ อ่านเพิ่มเติม