ร.ต.ท.จรูญ วิมล เปิดใจพร้อมภรรยาเกี่ยวกับการถูกออกหมายเรียกแจ้งข้อกล่าวหา "ยักยอกทรัพย์" และ "รับของโจร" โดยตำรวจภูธรภาค 7 ในคดีหวย 30 ล้าน ที่บ้านพักในจ.กาญจนบุรี
ร.ต.ท.จรูญระบุว่า วันนี้อยากจะบอกความรู้สึกในใจ หลังจากดูการแถลงของตำรวจภูธรภาค 7 แล้ว ตนรู้สึกว่าไม่น่าจะได้รับความเป็นธรรมสักเท่าไร เพราะตนเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด เช่น การสั่งฟ้องทั้งที่หลักฐานก็เป็นไปตามที่เราเห็น ส่วน 2 ข้อหาที่ถูกกล่าวหาทั้งยักยอกทรัพย์และรับของโจรนี่ตนรับไม่ได้ เพราะตนเป็นคนซื้อมาแล้ว หลักฐานนั้นถูกสร้างขึ้นมา ส่วนตอนที่ตนซื้อแล้วก็เก็บไว้ในกระเป๋า ไม่มีการซื้อต่อจากใคร ไม่มีการทำหล่นแล้วเก็บใดๆ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการที่ตำรวจอ้างพยานบุคคลที่ให้การสนับสนุนฝั่งครูปรีชานั้น ร.ต.ท.จรูญตอบว่า ตนไม่ทราบว่าพยานบุคคลของทางตำรวจเป็นใคร ตนเชื่อว่าพยานไม่มีจริง ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า ถ้าตำรวจขอหลักฐานแย้งว่าไม่มีจริงมีอะไรจะมอบให้ตำรวจได้บ้าง ร.ต.ท.จรูญตอบว่าหลักฐานมอบให้ทนายไปหมดแล้ว แต่ขอไม่เปิดเผยว่าเป็นหลักฐานอะไรและไม่ระบุว่าเป็นวัตถุพยานหรือพยานบุคคล แต่มั่นใจมากว่าหลักฐานที่ตนจะโต้แย้งได้ มีโอกาสที่จะลบล้างข้อกล่าวหาได้
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ทำไมจำจุดหรือจำแม่ค้าที่ซื้อไม่ได้ หมวดจรูญบอกว่าเข้าใจความคลางแคลงใจของสังคมในเรื่องนี้ ตนจำจุดที่ซื้อได้ แต่จำหน้าแม่ค้าไม่ได้ เพราะตนไม่ได้สนใจหน้าตา ทรงผมแม่ค้า ไม่มีแม่ค้าประจำและไม่เคยจำหน้าแม่ค้าด้วย เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุนั้น จริงๆ ตนตั้งใจจะไปซื้อกับข้าว แต่คิดว่าพรุ่งนี้หวยออกแล้วจึงเกิดอยากเสี่ยงโชค ไม่ได้คิดว่าจะถูกรางวัลใหญ่โต แค่ถูกสองตัวก็พอใจแล้ว พอดีได้เลขที่ตั้งใจไว้ แม่ค้าเลยหยิบให้เป็นชุด ตนเลยถามว่ามีกี่ใบ แม่ค้าตอบว่าห้าใบ ตนถามต่อว่าราคาเท่าไหร่ แม่ค้าก็ตอบว่าราคาก็เท่ากับที่หน้าซอง ตนจึงจ่ายเงินไป 700 บาท ทั้งที่โดยปกติไม่สนับสนุนการขายเกินราคา แต่วันนั้นอาจจะเพราะได้เลขตรงกับที่ต้องการและเกือบถึงวันหวยออกแล้วจึงจ่ายไป จากนั้นก็ไปซื้อกับข้าวกับภรรยาต่อแล้วจึงกลับบ้าน ซึ่งตอนซื้อตนมองหน้าแม่ค้าบ้างแต่ไม่ได้สังเกตว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังเกิดเหตุไม่มีแม่ค้ามาแสดงตัวช่วยร.ต.ท.จรูญเลย รู้สึกอย่างไร ร.ต.ท.จรูญระบุว่าไม่เป็นไร เพราะแม่ค้าไปเป็นพยานให้ฝั่งโน้นแล้ว เขาจะมาแสดงตัวทำไม
เมื่อถามถึงวันที่มีการเจรจากันของทั้งสองฝ่าย ระหว่างร.ต.ท.จรูญและครููปรีชา ร.ต.ท.จรูญเล่าว่ามีการพูดคุยกันเยอะ ฝั่งครูปรีชาพยายามพูดว่าเรามีบุญร่วมกันแล้วก็พูดว่า "วิน-วิน" ลักษณะจะขอแบ่ง 50-50 ซึ่งตนนั่งฟังอย่างเดียวแล้วไม่ได้ตอบโต้ แต่ใจไม่ยอมอยู่แล้ว
สำหรับผลที่ออกมานั้น ร.ต.ท.จรูญพูดในเชิงประชดว่า ตนเป็นตำรวจเก่ารู้สึกซึ้งในน้ำใจของตำรวจภาค 7 ตนต้องวิ่งไปหากระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ เพื่ออะไร เพื่อให้ขุดคุ้ยเรื่องที่ผมก่อขึ้นมางั้นหรือ ตนอยากให้หน่วยงานที่เป็นกลางจริงๆ มาหาข้อมูลว่าใครผิดใครถูก เพราะตำรวจไม่เชื่อผมอยู่แล้ว เขาเชื่ออยู่แล้วว่าฝั่งนั้นเป็นฝ่ายถูก ทุกครั้งที่ผมพูดก็บอกว่าไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แต่ขอให้ไปหาความจริงมา ส่วนพยานบุคคลของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ตนไม่รู้ว่ามีการจ้างหรือไม่ แต่เชื่อว่าเป็นพวกกัน ในฐานะที่เป็นตำรวจมาก่อนก็รู้สึกน้อยใจ มันอาจจะเป็นกระบวนการที่สมบูรณ์แล้วสำหรับเขา แต่สำหรับเราเรารู้สึกในใจอยู่แล้ว เขาไม่เชื่อผมเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องมีเพื่อนตำรวจให้คำปรึกษาบ้างหรือไม่ ร.ต.ท.จรูญตอบว่ายังไม่มี มีแต่ให้กำลังใจ ตนให้หลักฐานทั้งหมดกับตำรวจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาไม่ได้อะไรเลย ตนไม่ใช่เป็นคนโกหก และสองฝ่ายก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนโกหก ตนไม่เครียดเพราะผมเป็นคนซื้อ ตั้งแต่เกิดเรื่องมายังไม่มีใครแวะเวียนมาที่บ้าน เพียงแต่รู้สึกว่ามีรถราผ่านบริเวณบ้านเยอะขึ้น
นอกจากนี้ ร.ต.ท.จรูญยังเผยว่า ตนตั้งใจไว้แล้วว่าตนเป็นพุทธศาสนิกชน จึงตั้งใจจะไปสาบานต่อศาลหลักเมืองวันอาทิตย์นี้เวลา 10.00 น. ว่าถ้าโกหกขอให้ครอบครัวมีอันเป็นไป และขอท้าฝั่งครูปรีชา ตำรวจที่เรียกตนไปในวันแรกๆ รวมทั้งพยานทั้งหมด ถ้าเชื่อว่าบริสุทธิ์ก็ขอให้ไปสาบานด้วยกัน ตนพร้อมเข้าเครื่องจับเท็จ ตรวจดีเอ็นเอ ทุกอย่าง พร้อมไปทุกที่ หลังจากนี้ถ้าศาลตัดสินให้แบ่งคนละครึ่ง ตนคงไม่ยอม มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ต้องมีคนติดคุก คนผิดต้องรับกรรม ตอนนี้อยากให้คนผิดติดคุกก่อนได้เงิน และหากมีผู้ใหญ่มาขอให้เจรจาก็คงไม่เจรจาเพราะเลยจุดนั้นมาแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามความรู้สึกกรณีที่ตำรวจไม่ให้น้ำหนักหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มีรอยนิ้วมือของ ร.ต.ท.จรูญ ซึ่งเจ้าตัวพูดเพียงว่า "ซึ้งในน้ำใจ" ผู้สื่อข่าวถามต่อว่างวดนี้ได้ซื้อหวยหรือไม่ ร.ต.ท.จรูญตอบว่างวดนี้ไม่ได้ซื้อเพราะยังทำใจไม่ได้ แต่ยังไม่เข็ดกับหวย ตนอยากได้คนที่เป็นกลางจริงๆ เช่น ดีเอสไอ มาทำคดีนี้ และถ้าเรื่องนี้ถึงนายกรัฐมนตรีก็ดี ตนย้ำว่าไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่ตนอยากขอความเป็นธรรมบ้าง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พยานฝ่ายครูปรีชามีถึง 40 คน นับว่าเยอะไปหรือไม่ ร.ต.ท.จรูญระบุว่าแล้วแต่สื่อจะคิด เป็นเรื่องของเขา เพียงแต่ตอนซื้อมันมีแม่ค้าไม่กี่คน นอกนั้นก็เป็นแม่ค้าผักผลไม้ แต่พอถึงเวลาจริงกลับมีมาเยอะ ครั้งแรกที่ตนไปตามหาคือกล้องวงจรปิด พยายามเน้นตำรวจให้หากล้องวงจรปิดแต่ก็หาไม่ได้ ไม่มีใครหาได้เลย ถ้าหาได้ในชั้นศาลตนก็ไม่กังวล
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการถูกอายัดเงินรางวัลจะไปร้องศาลปกครองหรือไม่ ร.ต.ท.จรูญตอบว่าเรื่องนี้มอบหมายให้ทนายดูแล ส่วนเรื่องการร้องขอเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนนั้น เนื่องจากช่วงนี้ทนายไม่อยู่จึงรอทนายกลับมาก่อน ส่วนเรื่องที่ตนจะฝากกับครูปรีชาก็คือขอให้มาเจอกันวันอาทิตย์นี้ไปสาบานด้วยกัน แล้วไปศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเพื่อสาบานว่าใครพูดจริงขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ใครพูดเท็จขอให้มีความฉิบหายล่มจมให้หมด ติดคุกติดตะราง
ผู้สื่อข่าวถามว่าโกรธครูปรีชาหรือไม่ ร.ต.ท.จรูญบอกว่าตนไม่โกรธครูปรีชา แค่ไม่พอใจว่าเป็นครูบาอาจารย์ทำแบบนี้ได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่ฝากถึงเจ้าหน้าที่นั้น หมวดจรูญบอกเพียงว่า "ฝากขอบคุณเขาด้วยแล้วกัน"