สำนักข่าว mirror นำเสนอเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจของ Pramodini Roul หญิงสาวชาวอินเดีย วัย 25 ปี เหยื่อความรุนแรงถูกสาดน้ำกรดจนเสียโฉมและตาบอดทั้งสองข้าง หลังบอกปฏิเสธคำขอแต่งงานตอนอายุ 15 ปี แต่วันนี้ชีวิตที่เหมือนฟ้าหลังฝนได้นำพาให้เธอมาเจอกับรักแท้
ย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน สมัยที่เธอยังเป็นเพียงเด็กสาววัยรุ่น แต่กลับต้องเผชิญเหตุการณ์เฉียดตาย ถูกคนร้ายซึ่งเป็นชายวัย 28 ปี ดักราดน้ำกรดอย่างโหดเหี้ยม เพราะโกรธแค้นที่เธอปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วย หลังเกิดเหตุเธอใช้เวลารักษาตัวในห้องไอซียูนานถึง 4 เดือน ซึ่งความรุนแรงของน้ำกรดทำลายใบหน้าจนเสียหายทั้งหมด แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีซ่อนอยู่ เพราะเมื่อสามปีก่อนเธอได้พบกับคนรัก Saroj Kumar Sahoo ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และตอนนี้ก็กำลังวางแผนที่จะแต่งงานกัน
รายงานข่าวระบุว่า ก่อนหน้าที่จะได้พบกับแฟนหนุ่ม หญิงสาวมีอาการแผลติดเชื้อขณะพักรักษาตัวที่บ้าน โดยมีแม่ซึ่งเป็นแม่ม่ายคอยดูแลเพียงลำพัง หลังจากเหตุการณ์ร้ายเธอต้องทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลและเข้ารับการผ่าตัดมากถึง 5 ครั้ง รวมถึงการผ่าตัดแก้ไขการมองเห็นที่ตาขางซ้าย ทำให้ประสบภาวะซึมเศร้า แต่ตอนนี้เธอสามารถยิ้มได้อย่างเต็มที่และมีเหตุผลที่จะหายใจต่อไป เพราะมีคนรักอยู่เคียงข้าง
หญิงสาวเปิดใจถึงคนรักว่า ชายหนุ่มดูแลเธอราวกับเป็นราชินี คอยกระตุ้นให้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข เขารักในสิ่งที่ตัวเธอเป็น เธอคงไม่มีลมหายใจอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ หากไม่มีเขาเข้ามาในชีวิต เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมีเขาคอยเข้าใจอยู่เสมอ แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกดีที่ได้รับความรัก โดยเฉพาะเธอที่รับรู้ได้ว่าคนรักๆ ในความดีงามที่อยู่ภายใน
ย้อนไปในเดือนมีนาคมปี 2014 ทั้งคู่ได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรกที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวไปรักษาแผลติดเชื้อที่ขา เนื่องจากผิวหนังบริเวณดังกล่าวถูกใช้สำหรับปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งหมอบอกกับแม่ของเธอว่าอาจจะต้องใช้เวลารักษานานถึง 4 ปี ถึงจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง ส่วนชายหนุ่มเป็นเพื่อนกับพยาบาลที่มีหน้าที่ดูแลหญิงสาว เขามักจะแวะมาเยี่ยมและคอยให้กำลังใจ นับตั้งแต่ที่เห็นแม่ของเธอร้องไห้อย่างหนักเมื่อรู้ว่าเธอจะเดินไม่ได้อีกหลายปี
การเจอกันในครั้งแรกทั้งคู่ไม่ได้มีบทสนทนากัน แต่ผ่านไปอีก 15 วัน ชายหนุ่มที่ตอนนั้นมีอายุ 26 ปี ก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดกับหญิงสาวก่อน หลังจากนั้นเขาก็มาเยี่ยมทุกวันจนเป็นกิจวัตร คอยพูดปลอบขวัญและให้กำลังใจ กระทั่งเขาตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อมาดูแลหญิงสาววันละ 8 ชั่วโมง มันเป็นเรื่องเกินความคาดหมายของเธอที่ตอนนั้นสูญเสียดวงตาและยังเดินไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังถอดใจ แต่ชายหนุ่มกลับแสดงความมั่นใจว่าเธอจะสามารถผ่านมันไปได้
โดยตลอดช่วงเวลาที่รักษาบาดแผลและทำกายภาพบำบัด เธอได้รับความช่วยเหลือจากเขาจนสามารถเดินได้ด้วยขาของตัวเอง กระทั่งหลังจากผ่าตัดตาข้างซ้ายเธอก็ไม่เห็นเขาอีก จึงเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายคงหมดความสนใจในตัวเธอไปแล้ว แต่เพราะมิตรภาพอันลึกซึ้ง ทำให้เขากล้าบอกความรู้สึกของตัวเอง แต่กลับเป็นฝ่ายของหญิงสาวที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม เพราะรู้ตัวดีว่าเธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น เธอคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอแล้วจะไปทำให้เขามีความสุขได้อย่างไร แต่ชายหนุ่มได้พูดให้กำลังใจและบอกไม่ให้เธอคิดมาก
ครอบครัวของทั้งคู่ต่างให้การยอมรับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น โดยจะรอให้หญิงสาวเข้ารับการผ่าตัดที่เหลือเรียบร้อยก่อนจึงจะจัดพิธีแต่งงาน ซึ่งหมอบอกว่าเธอจะต้องผ่าตัดอีกอย่างน้อย 4 ครั้ง เธอมีความหวังที่จะได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมโดยเร็วที่สุด เพราะความล่าช้าเนื่องจากติดขัดเรื่องทุนทรัพย์ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง
นอกจากนี้หญิงสาวยังเปิดเผยถึงเรื่องคดีความว่า ชายที่ก่อเหตุไม่ได้ถูกตำรวจจับกุมตัว แม้เธอจะระบุตัวตนของคนร้ายได้อย่างชัดเจน ทุกวันนี้เธอก็ยังรอวันที่จะได้เห็นคนร้ายถูกจับและชดใช้โทษในคุก โดยที่ผ่านมาเธอได้ยื่นคำร้องต่อศาล แต่เมื่อได้หมายเรียกขอให้ส่งพยานหลักฐาน เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นตอนนั้นยังคงนอนติดเตียง แม้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอจะเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ แต่กลับไม่เคยมีใครพาเขาไปให้การต่อศาล จากเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้ศาลสั่งยกฟ้องในปี 2012