จากกรณีเมื่อวันที่ 16 ต.ค. ตำรวจ สภ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 กับ ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือผู้กองเหน่ง ผู้ต้องหาเกี่ยวกับคดีการหายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำของ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย ในความผิดเกี่ยวกับปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารปลอม พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังและอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสอบสวน โดยกำหนดวงเงินประกัน 600,000 บาท จนต่อมาได้มีการพบโครงกระดูกและวัตถุพยานต่างๆที่คาดว่าจะเป็น ผอ.อ้อยนั้น
ล่าสุด พนักงานสอบสวน สภ.กันทรลักษ์ ได้ขอฝากขังและแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับ ร.อ.ศุภชัย หรือผู้กองเหน่ง ผู้ต้องหา โดยกล่าวหาว่า ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังความตายหรือพฤติการณ์แห่งการตายและหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พร้อมทั้งยื่นคำร้องคัดค้านการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
โดยศาลจังหวัดกันทรลักษ์พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์และเกรงว่าจะหลบหนี ศาลจึงมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังเพิ่มเติมในข้อหาดังกล่าว และมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ และมีอัตราโทษร้ายแรง เกรงว่าจะหลบหนี จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เรือนจำอำเภอกันทรลักษ์ ได้ควบคุมตัว ร.อ.ศุภชัย ไปขึ้นรถผู้ต้องขังของเรือนจำอำเภอกันทรลักษ์ เพื่อนำตัวผู้กองเหน่งไปคุมขังไว้ โดยผู้กองเหน่งสวมเสื้อยืดลายพรางของทหาร มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาลจังหวัดกันทรลักษ์เดินหิ้วปีกไปขึ้นรถของเรือนจำอำเภอกันทรลักษ์
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ได้มีญาติพี่น้องของ ผอ.อ้อย มาร่วมรับฟังการพิจารณาของศาลจังหวัดกันทรลักษ์ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งนายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 62 ปี พ่อของ ผอ.อ้อย กล่าวว่า ตนรู้สึกภูมิใจดีใจที่ได้รับความยุติธรรมในครั้งนี้ สมกับความยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยของตนและครอบครัว ญาติพี่น้องทุกคนที่พากันออกเดินลุยป่าเพื่อค้นหาร่างของลูกสาว จนกระทั่งพบศพถูกทิ้งอยู่ในป่าทางขึ้นเนิน 500 อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี อย่างน่าเวทนา ซึ่งตนขอประกาศตรงนี้ว่า ตนจะยังไม่เผาศพลูกสาว เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการทำลายพยานหลักฐานที่มีอยู่ โดยจะนำศพมาเก็บไว้ เมื่อคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว และผู้กองเหน่งได้รับโทษตามกฎหมายที่บัญญัติไว้สูงสุด ตนจึงจะประกอบพิธีฌาปนกิจศพต่อไป
+ อ่านเพิ่มเติม