ตำรวจยืนยันผลชันสูตร นทท.เบลเยี่ยมผูกคอตายเอง เผยแม่ผู้ตายบอกลูกสาวเคยพยายามฆ่าตัวตาย
logo ข่าวอัพเดท

ตำรวจยืนยันผลชันสูตร นทท.เบลเยี่ยมผูกคอตายเอง เผยแม่ผู้ตายบอกลูกสาวเคยพยายามฆ่าตัวตาย

24,061 ครั้ง
|
30 มิ.ย. 2560
     จากกรณีสื่อต่างประเทศนำเสนอประเด็นการเสียชีวิตของ น.ส.เอลิส ดัลเลอมาเน ชาวเบลเยี่ยม วัย 30 ปี ที่ถูกพบเป็นศพในลักษณะผูกคอตายในป่าที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ซึ่งเจ้าหน้าที่วินิจฉัยว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ทางครอบครัวยังติดใจในสาเหตุการตาย เพราะไม่เชื่อว่ามีเหตุจูงใจในการฆ่าตัวตาย นั้น
 
     ล่าสุด พ.ต.ท.นภา เสนารักษ รองผกก.(สอบสวน) เปิดเผยว่า จากการสอบสวนทราบว่า น.ส.เอลิส เดินทางเข้าเกาะเต่าตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. และไปพักที่บังกะโลแห่งหนึ่งในช่วงบ่าย แต่พอเวลาประมาณ 21.00น. ได้เกิดไฟไหม้ที่บังกะโลซึ่งเป็นไม้ไผ่สภาพเก่า ทำให้เสียหายจำนวน 4 หลัง จากการตรวจสอบต้นเพลิงมาจากห้องของ น.ส.เอลิส จากไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งช่วงเกิดเหตุเพลิงไหม้ผู้ตายก็วิ่งหนีออกจากห้องพักพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก่อนจะหายตัวไป 
 
     ผ่านไปจนถึงวันที่ 27 เม.ย. ก็มีผู้มาพบศพ น.ส.เอลิส แขวนคอเสียชีวิตอยู่บนเนินเขา หลังอ่าวโตนด ม.3 ต.เกาะเต่า เจ้าหน้าที่จึงได้ชันสูตรพลิกศพ และส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งทำการตรวจอย่างละเอียด หาดีเอ็นเอที่ซอกเล็บ ตรวจหาร่องรอยทุกส่วนของร่างกายรวมทั้งอวัยวะเพศ แพทย์ผู้ตรวจก็มีความเห็นไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ สภาพร่างกายไม่มีรอยถูกทำร้าย หรือกระดูกหัก และเสียชีวิตจากขาดอากาศหายใจเพราะผูกคอตาย
 
     เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดหลังพบศพผู้ตาย พบว่าในวันที่ 21 เม.ย.เวลา 08.01 น. ผู้ตายไปซื้อข้าวกล่องกับน้ำเปล่า และซื้อตั๋วเรือ บริษัทเรือเร็วลมพระยา กับโรงแรมแห่งหนึ่งใน ม.3 ต.เกาะเต่า เพื่อที่จะเดินทางในวันที่ 24 เม.ย. เวลา 14.30 น. แต่วันเดียวกัน เวลา 09.03 น. พบว่าผู้ตายเดินผ่านกล้องวงจรปิดหน้ารีสอร์ตแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่จับภาพของผู้ตายได้ ซึ่งมีระยะห่างจากจุดที่พบศพเพียง 200 เมตร หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็น หรือกล้องวงจรปิดจับภาพผู้ตายได้อีก 
 
     และจากการตรวจสอบกับบริษัทเรือเร็วลมพระยา ก็ไม่พบการใช้ตั๋วเดินทางดังกล่าว จนกระทั้งมาพบศพในวันที่ 27 เม.ย. และจากการสอบปากคำนางมิเชล ฟาน เอทเทน มาดาของผู้ตาย ยังได้กล่าวขอบคุณการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย และก็ไม่ได้ติดใจการเสียชีวิตของบุตรสาว ซึ่งนางมิเชล ได้ให้ข้อมูลว่าบุตรสาวได้ไปเข้าลัทธิกับกลุ่มเพื่อนที่ประเทศอินเดีย หลังจากนั้นก็มีพฤติกรรมแปลกๆ จนมาทราบว่าครั้งหนึ่งผู้ตายพยายามฆ่าตัวตายด้วยการวิ่งให้รถไฟชนที่กรุงเทพฯ แต่มีคนช่วยไว้ได้
 
     จากที่สื่อออนไลน์บางสำนักโจมตีการทำงานของตำรวจ และสถานที่ท่องเที่ยวเกาะเต่า จนทำให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์ จะได้หารือกับผู้บังคับบัญชาอีกครั้งหนึ่งว่าจะมีการฟ้องร้องเอาผิดหรือไม่ พร้อมขอบอกว่าตำรวจ สภ.เกาะเต่า ทุกนายตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเกาะเต่า ให้ได้รับความสะดวกสะบาย ให้ได้รับความปลอดภัย และขอยืนยันว่าเกาะเต่าไม่ได้เป็นแหล่งอาชญากรรม ไม่ได้เป็นแหล่งมั่วสุม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าอยู่น่าเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่มาเกาะเต่า
 
     ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ น.ส.หลงมา ศิริวัฒน์ เจ้าของบังกะโลที่ผู้ตายเข้าพักวันแรก ได้เผยว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 19 เม.ย. ผู้ตายเดินทางมาคนเดียว จากการสังเกตุพฤติกรรมก็ปกติเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป มาถามห้องพักแบบถูกที่สุด จึงเปิดห้องพักแบบบังกะโลไม้ไผ่ 2 คืน คืนละ 400 บาท กระทั่งเวลา 21.00 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้บังกะโลไม้ไผ่ไป 4 หลัง โดยห้องต้นเพลิงเป็นห้องของผู้ตาย แต่ผู้ตายวิ่งหนีออกไปได้พร้อมกับกระเป๋าสะพายใบเล็ก และหาตัวไม่เจออีกเลย ในเบื้องต้นตนเองคิดว่าไม่น่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร เพราะทุกห้องพักจะติดตั้งระบบตัดไฟฟ้าลัดวงจร
 
     ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังจุดที่พบศพ น.ส.เอลิส พบว่า อยู่บนเนินเขาที่ขึ้นไปยังจุดชมวิว ด้านหลังอ่าวโตนด โดยผู้ตายได้ผูกคอกับกิ่งไม้ใหญ่ข้างโขดหินขนาดใหญ่ 
 
     ด้านนายจันทร์ มาตคูเมือง ผู้ที่พบศพของ น.ส.เอลิส เป็นคนแรก เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 เม.ย. ได้เดินขึ้นไปบนจุดชมวิว และได้กลิ่นซากศพ ก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆจนเห็นศพแขวนคอไว้กับต้นไม้ จึงได้ลงมาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้าไปตรวจสอบ และจุดที่พบศพนั้นด้านข้างพบกระเป๋าของผู้ตายตั้งอยู่ 1 ใบ ดูลักษณะของศพแล้วเหมือนมีจุดประสงค์จะเผาตัวเองมากกว่า เพราะที่ลำตัวผู้ตายมีผ้าพันล้อมรอบไว้ และใกล้กับจุดพบศพมีขวดน้ำมันเบนซินอยู่ 1 ขวด
 
     ส่วนประเด็นที่ทางสื่อออนไลน์ "สมุยไทม์" เขียนในเนื้อหาระบุว่า พบกระเป๋าเดินทางของผู้ตายที่ไปกับเรือโดยสารวันที่ 24 เม.ย. และไปอยู่ที่ จ.ชุมพร นั้น น.ส.วิยดา ณ บางช้าง ผู้จัดการท่าเรือเร็วลมพระยาเกาะเต่า ได้ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ได้พบกระเป๋าเดินทาง 1 ใบสีแดงของผู้โดยสารบนเรือที่ไปจ.ชุมพร ในรอบบ่าย เจ้าหน้าที่ได้ประกาศตามหาเจ้าของก็ไม่มีผู้มาแสดงตน จึงได้เก็บไว้เพื่อรอเจ้าของมาติดต่อ
 
     จนกระทั่งในวันที่ 5 พ.ค. พ่อกับแม่ของผู้เสียชีวิตได้มาติดต่อเพื่อขอดูกระเป๋า และบอกว่าลูกสาวได้หายไปจนต่อมาพบว่าเสียชีวิต และทราบว่าลูกสาวเดินทางมากับเรือเร็วลมพระยา จึงอยากจะให้ตรวจสอบว่ามีกระเป๋าลูกสาวติดไปหรือไม่ จนวันที่ 7 พ.ค. ทางบริษัทฯ ก็ส่งกระเป๋าใบดังกล่าวมาที่ท่าเทียบเรือเกาะพะงัน เพือให้พ่อกับแม่ของผู้ตายตรวจสอบ และเมื่อเปิดดูก็พบว่ามีของใช้ส่วนตัวของลูกสาว และเครื่องลางของขลังลักษณะของชาวอินเดีย ทำให้มั่นใจว่าเป็นของลูกสาวที่เสียชีวิตไป