ไต้หวันกำลังจะสูญเสียหนึ่งในพันธมิตรทางการทูตเก่าแก่ หลังจากปานามา ประเทศในทวีปอเมริกากลาง ประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับจีนแผ่นดินใหญ่ นับเป็นประเทศที่สองต่อจากประเทศเซาตูเมแอนด์ปรินซีปีที่สถาปนาความสัมพันธ์กับจีน และยุติความสัมพันธ์กับไต้หวัน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีไช่อิงเหวินของไต้หวันได้รับการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว
โดยประธานาธิบดีฮวน คาร์ลอส วาเรลา ของปานามาประกาศการสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนอย่างเป็นทางการในวันนี้ (13 มิถุนายน) หลังหนังสือพิมพ์ของปานามาเป็นผู้เผยแพร่ข่าวนี้เป็นรายแรก เขากล่าวว่าปานามากำลังยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ซึ่งเป็นผู้ใช้คลองปานามามากเป็นอันดับสองเพื่อการขนส่งสินค้า และคลองปานามานี้เองก็กำลังถูกคาดหวังว่าจะใช้เป็นเส้นทางขยายการค้าโลกภายใต้ยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 หรือ "One Belt, One Road" ของจีนด้วย โดยประธานาธิบดีวาเรลาเชื่อว่านี่จะเป็นการเลือกเส้นทางที่ถูกต้องของปานามา
"เรากำลังสร้างก้าวย่างแห่งประวัติศาสตร์ ทั้งสองประเทศได้เลือกการเชื่อมต่อของโลกที่กำลังรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสร้างยุคใหม่แห่งโอกาสในความสัมพันธ์ที่เรากำลังจะเริ่มในวันนี้" ประธานาธิบดีแห่งปานามากล่าว คำแถลงสถาปนาความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นหลังจีนเริ่มก่อสร้างท่าเรือขนส่งสินค้าพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการขนส่งก๊าชธรรมชาติในจังหวัดตอนเหนือของปานามา
อย่างไรก็ตาม นายเวเรลายังคงกล่าวถึงไต้หวัน ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการทูตมาตั้งแต่ปี 1912 ว่าเป็น "เพื่อนผู้ยิ่งใหญ่" และเขายังคงคาดหวังปฏิกิริยาในเชิงสร้างสรรค์กับไต้หวัน
แต่ปฏิกิริยาเชิงสร้างสรรค์ดังกล่าวอาจจะเป็นไปได้ยาก เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของไต้หวันแถลงทันทีว่ารัฐบาลไต้หวันรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอประณามการตัดสินใจของปานามา และรัฐบาลไต้หวันจะยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับปานามา เพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติ และจะยุติความร่วมมือและความช่วยเหลือแบบทวิภาคี รวมถึงถอนสถานทูตและบุคลากรทางเทคนิคในปานามาด้วย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันยังวิพากษ์วิจารณ์จีนที่เพิ่มความกดดันไปยังพันธมิตรทางการทูตของไต้หวัน โดยบอกว่าไต้หวันจะไม่แข่งขันกับจีนแผ่นดินใหญ่ในการทูตแบบ "Dollar Diplomacy" หรือการใช้อำนาจของรัฐต่อประเทศอื่น เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ในการลงทุนที่ต่างประเทศของภาคเอกชนให้แก่พลเมืองของตน และกล่าวว่าไต้หวันจะยังคงหาเสียงของตัวเองในเวทีระหว่างประเทศต่อไป
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจาก "นโยบายจีนเดียว" ของจีนแผ่นดินใหญ่ (หรือสาธารณรัฐประชาชนจีน) ซึ่งไม่ยอมรับไต้หวัน (หรือชื่อประเทศอย่างเป็นทางการคือสาธารณรัฐจีน) ในฐานะรัฐเอกราช แต่มองไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้ประเทศใดก็ตามที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน จะไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนแผ่นดินใหญ่ได้เด็ดขาด และความขัดแย้งนี้ก็ทำให้ไต้หวันถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกของสหประชาชาติตั้งแต่ปี 1971 และตำแหน่งต่างๆในสหประชาชาติที่เคยเป็นของไต้หวันก็ถูกแทนที่ด้วยจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งหมด
นอกจากนี้ประเทศต่างๆ ก็ทยอยหันไปรับรองสถานะและสานสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่แทนไต้หวัน ทั้งญี่ปุ่นในปี 1972 หรือสหรัฐอเมริกาในปี 1979 รวมถึงไทยในปี 1975 ทำให้ไทยไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวันมาตั้งแต่บัดนั้น แต่ยังคงมีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว การลงทุน การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมและแรงงาน โดยอาศัยความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการ ผ่านสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปในประเทศไทย และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยในไทเปแทน ทำให้ปัจจุบันพันธมิตรทางการทูตของไต้หวันเหลือเพียง 20 ประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นชาติเล็กๆในแถบละตินอเมริกา แอฟริกา และแปซิฟิกซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากไต้หวันนั่นเอง
+ อ่านเพิ่มเติม