จากกรณีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้รับการร้องทุกข์จาก นายเอก (นาม สมมติ) อายุ 52 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ และ ด.ช.บอย (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ลูกชาย ให้ช่วยติดตามหาพ่อแม่ที่จริงของ ด.ช.บอย หลังให้การเลี้ยงดูมาเสมือนลูกแท้ๆ ตลอดเวลากว่า 14 ปี แต่เพิ่งมารู้ความจริงว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ และการตามหาครั้งนี้ ก็เพื่อจะได้ให้ทางพ่อแม่ที่แท้จริงของด.ช.บอย ได้จัดการทำเรื่องยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมให้ถูกต้องตามกฏหมาย และเด็กจะได้ทำบัตรประชาชนและเรียนต่อได้
ล่าสุดวันนี้ (29 พ.ค.) เวลา 10.30 น. นางปวีณา หงสกุล พร้อมทีมงาน ได้พาสองพ่อลูกเดินทางไปที่อำเภอเต่างอย เพื่อพบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของ ด.ช.บอย โดยหลังพบหน้ากัน แม่ของ ดช.บอย ได้โผเข้ากอดลูกที่ไม่พบหน้ากันมานาน ถึง 14 ปี พร้อมทั้งร่ำไห้ออกมา โดยนางปวีณา ได้สอบถามถึงสาเหตุที่ยกลูกให้คนอื่น และว่ารู้จักกันมาก่อนหรือไม่ แม่ของ ดช.บอย บอกว่าไม่รู้จัก แต่ตนคลอดลูกคนที่ 2 ได้เพียง 2 เดือน ก็มีคนมาขอไปเลี้ยง โดยมาขออยู่ 3 วัน ตนจึงใจอ่อน และยกลูกให้กับหญิงชาว จ.ภูเก็ต ไป หลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ไม่ทราบว่าลูกของตนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่เมื่อมารู้ว่าลูกอยู่สุขสบายก็สบายใจ
ด้านนายเอก กล่าวว่า ตนรักเหมือนลูกจริงๆ ตามใจทุกอย่าง รู้สึกดีใจและโล่งใจที่ลูกชายได้พบหน้าพ่อแม่ที่แท้จริง ต่อไปก็ขอเป็นพี่เป็นน้อง หากคิดถึงก็โทรหาได้ หรือจะลงไปเยี่ยมไปหาลูกได้ตลอดเวลา
ด้าน นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ กล่าวว่า ที่มาในวันนี้ ก็เพื่อให้พ่อแม่ที่แท้จริง ได้พบหน้าลูก พร้อมด้วยขั้นตอนของการทำบัตรประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาน้องยังไม่มีบัตร และดร็อปการเรียน เมื่อได้บัตร ปชช.แล้ว ก็จะกลับไปเรียนต่อ ซึ่งทางพ่อแม่เดิม ก็มาเซ็นรับรองว่าเป็นบุตรของตนจริง จากนั้น เมื่อได้บัตรแล้วก็จะกลับไปแจ้งชื่อเข้าสำมะโนครัวประชากรต่อไป ส่วนเรื่องการทำเรื่องบุตรบุญธรรมก็ขอเป็นขั้นตอนต่อไป ซึ่งไม่ยากอยู่แล้ว หลังจากใช้เวลาในการทำบัตร และพูดคุยกันประมาณ 1 ชม. ขั้นตอนการทำบัตรประชาชนก็เสร็จสิ้น และ 2 พ่อลูก ก็เดินทางกลับ ซึ่งในระหว่างการทำบัตรประชาชน ได้รับความอำนวยความสะดวก จากนายพูนสุข ทะแพงพันธ์ นายอำเภอเต่างอย เป็นอย่างดี
ที่มาของเรื่องดังกล่าว นายเอก เปิดเผยว่า ตนอยู่กินกับภรรยามานานกว่า 15 ปี มีลูกชายคนเดียว คือ ด.ช.บอย ได้พบว่า ตู้เอกสารที่ภรรยาเก็บไว้ ถูกล็อคกุญแจไว้อย่างแน่นหนา จึงสงสัยและช่วยกันกับลูกงัดกุญแจออก ก็พบเอกสารจำนวนมาก ทั้งใบสูติบัตร ระเบียนผลการเรียนของด.ช.บอย แต่เมื่อตรวจสอบดูก็ต้องแปลกใจ เนื่องจากเอกสารทั้งหมดมีการแก้ไขชื่อ นามสกุล ของด.ช.บอย โดยใช้ปากกาลบคำผิดลบ ก่อนถ่ายเอกสารใหม่ โดยในสำเนาใบสูติบัตรได้ระบุชื่อ นามสกุล ของเด็กชายอีกคน ที่เกิดวัน เดือน ปีเดียวกับลูกชายตน และชื่อพ่อแม่ที่ ให้กำเนิดนั้นเป็นชาว จ.สกลนคร ต่อมาตนได้ประมวลเรื่องราวทั้งหมดถึงจะเอะใจคิดได้ว่าด.ช.บอย อาจจะไม่ใช่ลูกของตนเองจริงๆ และเกรงว่าภรรยาอาจจะไปขโมยลูกใครมา เมื่อซักถาม ภรรยาก็จะตอบบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง ล่าสุดอ้างว่าด.ช.บอย เป็นลูกของเพื่อน
ต่อมาภรรยาสารภาพว่าที่ทำไปเพราะตัวเองไม่สามารถมีลูกได้ และอยากมีลูกมากและกลัวว่าสามีจะไม่รัก นายเอก กล่าวว่า ตนสงสารลูกมาก ตั้งแต่รู้ความจริงก็ไม่กล้าไปโรงเรียน เพราะอายเพื่อน ส่วนภรรยาของตน หลังทุกคนรู้ความจริง ก็ได้ขอกลับไปเยี่ยมญาติที่ภูเก็ต จึงตัดสินใจเข้าร้องทุกข์มูลนิธิปวีณา และได้ประสานกับนายอำเภอเต่างอย เพื่อ ช่วยตรวจสอบชื่อ-ที่อยู่ ของพ่อแม่ด.ช.บอย ที่ระบุในสูติบัตร
โดยพบว่าพ่อแม่ของ ด.ช.บอย อาศัยอยู่ในต.นาตาล อ.เต่างอย จ.สกลนคร จริง ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ไปสอบถามเบื้องต้น ทั้งสองสามีภรรยาก็ยอมรับว่าได้เคยให้ลูกชายกับภรรยาของนายเอกไปจริง เนื่องจากมีลูกหลายคน ฐานะยากจน กลัวว่าจะเลี้ยงไม่ไหว และก็พร้อมที่จะดำเนินการรับรอง ด.ช.บอย เพื่อให้ได้ทำบัตรประชาชน และยก ด.ช.บอย ให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายเอกให้ถูกต้องตามกฏหมาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง