สธ.หนองคาย เตรียมส่งอสุจิไปตรวจที่โรงพยาบาลขอนแก่น ก่อนดำเนินคดีกับหนุ่มขนอสุจิข้ามแดน
logo ข่าวอัพเดท

สธ.หนองคาย เตรียมส่งอสุจิไปตรวจที่โรงพยาบาลขอนแก่น ก่อนดำเนินคดีกับหนุ่มขนอสุจิข้ามแดน

25,642 ครั้ง
|
21 เม.ย. 2560

หลังจากที่วานนี้ ศุลกากรหนองคาย จับกุมนายนิธินนทน์ ศรีธานิยานันท์ อายุ 25 ปี  พร้อมของกลางถังไนโตรเจน 1 ถัง ภายในบรรจุหลอดใส่อสุจิ 6 หลอด เป็นอสุจิของชาวจีน และชาวเวียดนาม โดยจับกุมได้ขณะกำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ ณ ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย – ลาว จ.หนองคาย ช่วงประมาณ 09.00 น. วันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการกระทำผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 มาตรา 41 ห้ามมิให้ผู้ใดซื้อ เสนอซื้อ ขาย นำเข้า ส่งออก ซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน อัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ พรบ.ศุลกากร ในการนำของต้องห้ามออกนอกราชอาณาจักร จำคุก 10 ปี ปรับ 4 เท่าราคาของรวมค่าอากร หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยทางศุลกากรได้เปรียบเทียบปรับนายนิธินนทน์ 200,000 บาท แล้วปล่อยตัวไป เสร็จสิ้นคดีของศุลกากร แต่ยังเหลือคดีความผิดทางสาธารณสุขอยู่

ความคืบหน้าในวันนี้ (21 เม.ย. 60) นายแพทย์ชัชวาลย์ ฤทธิ์ฐิติ รองนายแพทย์สาธารณสุข จ.หนองคาย กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่หนองคายจะส่งถังไนโตรเจนไปตรวจที่โรงพยาลขอนแก่น เนื่องจากโรงพยาบาลหนองคายไม่มีเครื่องละลายไนโตรเจนจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งสาธารณสุขหนองคายจะส่งไปภายในวันนี้ คาดว่าจะสามารถทราบผลการตรวจว่าภายในนั้นเป็นอสุจิ ไข่ หรือ ตัวอ่อน หลังจากนั้นจะได้แจ้งเรื่องให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขทราบเพื่อพิจารณาว่าจะให้ทางสาธารณสุขจังหวัดหนองคายเป็นผู้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับนายนิธินนทน์ ในส่วนของทางการลาวน่าจะไม่มีกฎหมายในการควบคุมการทำอุ้มบุญ แต่ความผิดที่ชัดเจนคือด้านศุลกากรในการลักลอบนำเข้าส่งออกสิ่งของเข้าประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นการเก็บอสุจิตั้งแต่เดือนมกราคมเพื่อนำไปทำอะไรบางอย่างสำหรับผู้ที่มีบุตรยาก หรือจะเป็นการทำเชิงธุรกิจก็เป็นไปได้ ต้องตรวจสอบอีกครั้ง ส่วนสถานประกอบการก็ต้องดูว่าได้รับอนุญาตถูกต้องหรือไม่ ผู้ประกอบการได้รับอนุญาตมีใบประกอบโรคถูกต้องหรือไม่ ในลักษณะนี้เชื่อว่าน่าจะเป็นการทำเพื่อการค้า เพราะผู้ต้องหารับสารภาพกับทางศุลกากรว่าเป็นการรับจ้าง เรื่องนี้เป็นที่น่าสนใจเพราะประเทศไทยมีกฎหมาย พรบ. อุ้มบุญ ควบคุม อาจเป็นเรื่องยากในการทำในประเทศไทย อาจมีความพยายามไปทำในประเทศเพื่อนบ้านแทน และหลังจากนี้จะมีการพูดคุยกับสาธารณสุขนครหลวงเวียงจันทน์ถึงมาตรการป้องกันร่วมกันระหว่างสองประเทศด้วย

ด้านนายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย กล่าวว่า ตอนนี้ได้กระจายข่าวไปตามด่านศุลกากรชายแดนทั่วประเทศเพื่อให้รับทราบพฤติกรรมและเฝ้าระวัง หากขบวนการนี้ไม่หยุดกลัวว่าจะมีการเปลี่ยนเส้นทางการลักลอบทำผิด ซึ่งนายนิธินนทน์ น่าจะทราบการทำงานของเจ้าหน้าที่ประจำสะพานด้วยว่าที่ด่านขาออกนอกประเทศไม่มีเครื่องเอ็กซเรย์และไม่ค่อยเข้มงวดเหมือนขาเข้าประเทศที่ตรวจหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายและสินค้าลักลอบภาษีศุลกากร เมื่อสองเดือนที่ผ่านมานายนิธินนทน์จะเดินทางจากกรุงเทพมาด่านสะพานด้วยรถโดยสาร และเคยถูกเรียกตรวจค้นครั้งนึงแต่ครั้งนั้นเจ้าหน้าที่พบเพียงถังไนโตรเจนเปล่า หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะระวังตัวขึ้นเพราะไม่นั่งรถโดยสารเหมือนเดิมแต่เรียกรถแท็กซี่แทนก็อาจทำให้หลุดรอดการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่มีข้อมูลมากพอสมควรนำมาซึ่งการจับกุมได้ในที่สุด ซึ่งการดำเนินการตาม พรบ.อุ้มบุญ พ.ศ.2558 มีโทษเบากว่า พรบ.ศุลกากร ซึ่งจำคุก 10 ปี ปรับ 4 เท่าของมูลค่าของ แม้ในครั้งนี้จะเป็นอสุจิซึ่งประเมินราคาได้ยาก ซึ่งศุลกากรปรับ 200,000 บาท จำนวนเงินไม่สำคัญเท่ากับการได้เผยแพร่ข้อมูลขบวนการนี้ให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูล กระตุ้นเตือนให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยตามแนวชายแดนได้เฝ้าระวังนั้นสำคัญกว่า

ขณะเดียวกัน นายด่านศุลกากรหนองคายได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ลาว เพื่อทราบข้อมูล ทางลาวก็ตกใจว่ามีขบวนการเหล่านี้ และจะนำเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาแก้กฎหมาย เพราะขณะนี้ลาวไม่มีกฎหมายควบคุมการกระทำเช่นนี้ แต่เป็นความผิดของศุลกากรทั้งไทยและลาวเช่นกัน โดยไทยยินดีให้ข้อมูลร่วมด้วย

 

 

ภาพ - มติชน