ผู้เสียหายถูกหลอกไปทัวร์ญี่ปุ่น เข้าแจ้งความที่กองปราบ ด้านแม่ข่ายเผยแค่ทำหน้าที่ขายทัวร์ แล้วมารับลูกทัวร์ ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุบริษัทดังกล่าวเคยถูกดำเนินคดีมาแล้วหลายครั้ง เปลี่ยนชื่อมากว่า 10 หน
วันนี้ 12 เม.ย. เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราบ มีผู้เสียหายที่ถูกหลอกให้ซื้อตั๋วเพื่อเดินทางไปญี่ปุ่น เข้ามาแจ้งความและให้ปากคำเพิ่มเติม โดยมีผู้เสียหายประมาณ 30 ราย ที่เป็นตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย เข้าให้ปากคำเพิ่มเติม ที่กองปราบปราม เพื่อแจ้งความคำเนินคดีกับ บริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และ น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ กรรมการบริษัท พร้อมทั้งแม่ข่ายที่เกี่ยวข้อง
โดยตำรวจสถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิ ได้คุมตัวผู้ต้องสงสัย ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มแชร์ลูกโซ่บริษัท เวล เอเวอร์ หรือแม่ข่าย มาสอบปากคำเพิ่มเติมที่กองบังคับการปราบปราม ซึ่งจากการสอบปากคำเบื้องต้นให้การว่า เป็นสมาชิกของบริษัทดังกล่าวจริง ซึ่งในระหว่างที่ตนเป็นสมาชิกไม่เคยเกิดปัญหาในลักษณะนี้ ตนทำหน้าที่ขายทัวร์ โดยก่อนที่ตนจะมาขายทัวร์ ตนได้ซื้อสินค้า และได้รับรางวัลเป็นแพ็คเก็จท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น จึงบินกลับมารับกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมดเพื่อเดินทางไป แต่ก็กลับพบปัญหาดังกล่าว
ขณะที่พลตำรวจโท ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผย มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความแล้วประมาณ 470 คน การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่านางสาวพิสิษฐ์ อริญชญ์ลาภิศ หรือ หมอโชกุน มีพฤติการณ์หลอกลวงประชาชนแบบนี้มาประมาณ 3-4 ครั้งมีการไกล่เกลี่ยยอมความกันมาโดยตลอด จึงไม่มีหมายจับติดตัว หลังจากที่ก่อเรื่องหมอโชกุนจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ เท่าที่ตรวจสอบ พบว่าหมอโชกุนเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลมาแล้ว 10 ครั้ง ยืนยันว่าครั้งนี้ตำรวจจะต้องดำเนินคดีให้ได้ และจะไม่ให้มีการยอมความเพราะหมอโชกุนมีพฤติการณ์ดังกล่าวมาหลายครั้งไม่เข็ดหลาบ กลับก่อเหตุซ้ำซาก
หลังจากดำเนินคดีจะทำการยึดทรัพย์สินต่อไป เพราะมีลักษณะฉ้อโกงประชาชนจำนวนมาก คล้ายกับแชร์ลูกโซ่ โดยแม่ข่ายเองก็ไม่ทราบว่าโดนหลอก จึงไปชักชวนคนอื่นๆ มาร่วมด้วย จึงมีผู้เสียหายเป็นพันคน ซึ่งตำรวจพยายามรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอออกหมายจับภายในวันนี้ให้ได้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าหมอโชกุนยังอยู่ภายในประเทศไทย ขณะเดียวกันจะประสานไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ประสานกับตำรวจในพื้นที่ รับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน และรวบรวมสำนวนคดีมายังกองปราบปราม เพื่อให้คดีอยู่ในการดูแลของกองปราบที่เดียว จะได้ง่ายต่อการดำเนินการ
ด้านนางสาวสิริพิชชา อิงอนุรักษ์สกุล หนึ่งในผู้เสียหาย บอกว่า ตนซื้อตั๋วเครื่องบินโดยตรงจากบริษัทดังกล่าว ในราคา หมื่นกว่าบาท โดยไม่ได้เป็นสมาชิกแต่อย่างใด ซึ่งตอนที่เขาประกาศขายตั๋วไม่ได้บอกว่าเป็นบริษัททัวร์ แต่มีการวางโปรแกรมแบบทัวร์ทั่วไป
ซึ่งหลังจากโอนเงินซื้อเสร็จแล้วก็ได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มไลน์ที่มีสมาชิกอีก 60 คน โดยมีมาดามซู หรือ นางพัทธนันท์ เศรษฐ์ธนากูล เป็นแม่ทีม คอยบอกวิธีการเตรียมตัวท่องเที่ยว จนมาถึงเมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่เกิดการความวุ่นวาย ทางมาดามซูก็อยู่ด้วย และเข้าให้ปากคำกับตำรวจ และบอกจะรับผิดชอบคืนเงินให้ ซึ่งล่าสุดในวันนี้ (12 เม.ย.) เวลา 10.00 น. ก็ยังสามารถติดต่อได้อยู่ ตนคิดว่ามาดามซูก็อาจโดนหลอกเหมือนกัน แต่เริ่มสังเกตว่า ทางมาดามซูให้ความช่วยเหลือทางบริษัทและผลัดการรับผิดชอบมาอยู่เรื่อยๆ จึงตัดสินใจเดินทางมาเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าว
ทั้งนี้มีข้อมูลว่า ซินแสโชกุน เคยถูกแจ้งความดำเนินคดีตั้งแต่ปี 2555-2559 รวม 6 คดี เป็นคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์ทั้งหมด โดยถูกศาลอนุมัติหมายจับกุมรวม 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนชื่อและนามสกุล ในที่ว่าการอำเภอเมือง และอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รวม 10 ครั้งอีกด้วย โดยมีชื่อเดิมว่า นางสาว สหชม นาคฤทธิ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
+ อ่านเพิ่มเติม